วันพุธที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปรากฏการณ์จุดดำ


ปรากฏการณ์จุดดำบนดาวฤกษ์ดวงต่าง ๆ งานวิจัยโดยศูนย์วิจัยบรรยากาศแห่งชาติ ได้ศึกษาดาวที่มีชื่อว่า HD 49933 อยู่ห่างจากโลก 100 ปีแสง ไปทางกลุ่มดาวยูนิคอร์น มีการศึกษาด้านเสียงของการปั่นป่วนของบรรยากาศ โดยใช้เทคนิคที่มีชื่อว่า ไซส์โมโลจี้ดวงดาว จนได้ค้นพบ จุดบนดวงดาว อันเป็นพื้นที่ที่เกิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเข้มข้นบนพื้นผิวของดาว คล้ายกับจุดดำบนดวงอาทิตย์ การค้นพบวงรอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของดาวดวงนี้ คล้ายๆกับที่เจอในดวงอาทิตย์ ทีมวิจัยหวังว่าจะใช้เทคนิคกับดาวดวงอื่น ๆ ในกาแล็กซี่ เพื่อนำมาศึกษาเปรียบเทียบกับโลก ให้เข้าใจดวงอาทิตย์มากขึ้น รวมไปถึงการสืบค้นสิ่งมีชีวิตที่อยู่นอกโลก....

ที่มา://PANTIP GUIDE , ฉบับที่ 49 (11), ตุลาคม-ธันวาคม 2553

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับสุขภาพดีจาก "ผักผลไม้หลากสี"


สุขภาพดีจาก ผักผลไม้หลากสี

การเลือกกินผักผลไม้หลากสี มีความสำคัญต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะผักผลไม้แต่ละสี
จะให้ไฟโตนิวเทรียนท์ต่างชนิดกัน ซึ่งไฟโตนิวเทรียนท์เป็นสารอาหารจากพืชที่มีบทบาทสำคัญต่อร่างกาย ทำหน้าที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยกำจัดสารพิษ ทำให้ร่างกายทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ต่อต้านการอักเสบ และควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์ ฉะนั้นเราต้องกินผักให้ครบ 5 สี ดังนี้
1. สีแดง ได้แก่ มะเขือเทศ ทับทิม สตรอเบอร์รี่ เชอร์รี่ และแอปเปิ้ลแดง
2. สีเหลือง /ส้ม ได้แก่ ส้ม มะนาว แครอท
3. สีเขียว ได้แก่ คะน้า กะหล่ำปลี ผักโขม และวอเตอร์เครส
4. สีม่วง/น้ำเงิน ได้แก่ กะหล่ำปลีม่วง ดอกอัญชัน บลูเบอร์รี่ องุ่นม่วง
5. สีขาว ได้แก่ กระเทียม ลูกแพร์ หอมใหญ่

(ที่มา: Amnews, october 2010.)

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อินเทอร์เน็ต(Internet)

คือ เครือข่ายนานาชาติ ที่เกิดจากเครือข่ายขนาดเล็กมากมาย รวมเป็นเครือข่ายเดียวทั้งโลก หรือเครือข่ายสื่อสาร ซึ่งเชื่อมโยงระหว่างคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ที่ต้องการเข้ามาในเครือข่าย สำหรับคำว่า internet หากแยกศัพท์จะได้มา 2 คำ คือ คำว่า Inter และคำว่า net ซึ่ง Inter หมายถึงระหว่าง หรือท่ามกลาง และคำว่า Net มาจากคำว่า Network หรือเครือข่าย เมื่อนำความหมายของทั้ง 2 คำมารวมกัน จึงแปลว่า การเชื่อมต่อกันระหว่างเครือข่าย IP (Internet protocal) Address คอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่เชื่อมต่อกันใน internet ต้องมี IP ประจำเครื่อง ซึ่ง IP นี้มีผู้รับผิดชอบคือ IANA (Internet assigned number authority) ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางที่ควบคุมดูแล IPV4 ทั่วโลก เป็น Public address ที่ไม่ซ้ำกันเลยในโลกใบนี้ การดูแลจะแยกออกไปตามภูมิภาคต่าง ๆ สำหรับทวีปเอเชียคือ APNIC (Asia pacific network information center) แต่การขอ IP address ตรง ๆ จาก APNIC ดูจะไม่เหมาะนัก เพราะเครื่องคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ เชื่อมต่อด้วย Router ซึ่งทำหน้าที่บอกเส้นทาง ถ้าท่านมีเครือข่ายของตนเองที่ต้องการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ก็ควรขอ IP address จาก ISP (Internet Service Provider) เพื่อขอเชื่อมต่อเครือข่ายผ่าน ISP และผู้ให้บริการก็จะคิดค่าใช้จ่ายในการเชื่อมต่อตามความเร็วที่ท่านต้องการ เรียกว่า Bandwidth เช่น 2 Mbps แต่ถ้าท่านอยู่ตามบ้าน และใช้สายโทรศัพท์พื้นฐาน ก็จะได้ความเร็วในปัจจุบันไม่เกิน 56 Kbps ซึ่งเป็น speed ของ MODEM ในปัจจุบัน

ประโยชน์ของอินเตอร์เน็ต
1 เป็นแหล่งข้อมูลที่ลึก และกว้าง เพราะข้อมูลถูกสร้างได้ง่าย แม้นักเรียน หรือผู้สูงอายุก็สร้างได้
2 เป็นแหล่งรับ หรือส่งข่าวสาร ได้หลายรูปแบบ เช่น mail, board, icq, irc, sms หรือ web เป็นต้น
3 เป็นแหล่งให้ความบันเทิง เช่น เกม ภาพยนตร์ ข่าว หรือห้องสะสมภาพ เป็นต้น
4 เป็นช่องทางสำหรับทำธุรกิจ สะดวกทั้งผู้ซื้อ และผู้ขาย เช่น e-commerce หรือบริการโอนเงิน เป็นต้น
5 ใช้แทน หรือเสริมสื่อที่ใช้ติดต่อสื่อสาร ในปัจจุบัน โดยเสียค่าใช้จ่าย และเวลาที่ลดลง
6 เป็นช่องทางสำหรับประชาสัมพันธ์สินค้า บริการ หรือองค์กร
ประวัติความเป็นมา
ประวัติในระดับนานาชาติ
- อินเทอร์เน็ต เป็นโครงการของ ARPAnet(Advanced Research Projects Agency Network) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่สังกัด กระทรวงกลาโหม ของสหรัฐ (U.S.Department of Defense - DoD) ถูกก่อตั้งเมื่อประมาณ ปี พ.ศ.2503(ค.ศ.1960)
- พ.ศ.2512(ค.ศ.1969) ARPA ได้รับทุนสนันสนุน จากหลายฝ่าย ซึ่งหนึ่งในผู้สนับสนุนก็คือ Edward Kenedy และเปลี่ยนชื่อจาก ARPA เป็น DARPA(Defense Advanced Research Projects Agency) พร้อมเปลี่ยนแปลงนโยบายบางอย่าง และในปีพ.ศ.2512 นี้เองได้ทดลองการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จาก 4 แห่งเข้าหากันเป็นครั้งแรก คือ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ลองแอนเจลิส สถาบันวิจัยสแตนฟอร์ด มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่ซานตาบาร์บารา และมหาวิทยาลัยยูทาห์ เครือข่ายทดลองประสบความสำเร็จอย่างมาก ดังนั้นในปีพ.ศ.2518(ค.ศ.1975) จึงเปลี่ยนจากเครือข่ายทดลอง เป็นเครือข่ายใช้งานจริง ซึ่ง DARPA ได้โอนหน้าที่รับผิดชอบให้แก่ หน่วยงานการสื่อสารของกองทัพสหรัฐ(Defense Communications Agency - ปัจจุบันคือ Defense Informations Systems Agency) แต่ในปัจจุบัน Internet มีคณะทำงานที่รับผิดชอบบริหารเครือข่ายโดยรวม เช่น ISOC (Internet Society) ดูแลวัตถุประสงค์หลัก IAB(Internet Architecture Board) พิจารณาอนุมัติมาตรฐานใหม่ใน Internet IETF(Internet Engineering Task Force) พัฒนามาตรฐานที่ใช้กับ Internet ซึ่งเป็นการทำงานโดยอาสาสมัคร ทั้งสิ้น
- พ.ศ.2526(ค.ศ.1983) DARPA ตัดสินใจนำ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet Protocol) มาใช้กับคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในระบบ ทำให้เป็นมาตรฐานของวิธีการติดต่อ ในระบบเครือข่าย Internet จนกระทั่งปัจจุบัน จึงสังเกตได้ว่า ในเครื่องคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องที่จะต่อ internet ได้จะต้องเพิ่ม TCP/IP ลงไปเสมอ เพราะ TCP/IP คือข้อกำหนดที่ทำให้คอมพิวเตอร์ทั่วโลก ทุก platform และสื่อสารกันได้ถูกต้อง
- การกำหนดชื่อโดเมน(Domain Name System) มีขึ้นเมื่อ พ.ศ.2529(ค.ศ.1986) เพื่อสร้างฐานข้อมูลแบบกระจาย(Distribution database) อยู่ในแต่ละเครือข่าย และให้ ISP(Internet Service Provider) ช่วยจัดทำฐานข้อมูลของตนเอง จึงไม่จำเป็นต้องมีฐานข้อมูลแบบรวมศูนย์ เหมือนแต่ก่อน เช่น การเรียกเว็บ www.yonok.ac.th จะไปที่ตรวจสอบว่ามีชื่อนี้ หรือไม่ ที่ www.thnic.co.th ซึ่งมีฐานข้อมูลของเว็บที่ลงท้ายด้วย th ทั้งหมด เป็นต้น
- DARPA ได้ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลระบบ internet เรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2533(ค.ศ.1990) และให้ มูลนิธิวิทยาศาสตร์แห่งชาติ(National Science Foundation - NSF) เข้ามาดูแลแทนร่วม กับอีกหลายหน่วยงาน
- ในความเป็นจริง ไม่มีใครเป็นเจ้าของ internet และไม่มีใครมีสิทธิขาดแต่เพียงผู้เดียว ในการกำหนดมาตรฐานใหม่ต่าง ๆ ผู้ตัดสินว่าสิ่งไหนดี มาตรฐานไหนจะได้รับการยอมรับ คือ ผู้ใช้ ที่กระจายอยู่ทั่วทุกมุมโลก ที่ได้ทดลองใช้มาตรฐานเหล่านั้น และจะใช้ต่อไปหรือไม่เท่านั้น ส่วนมาตรฐานเดิมที่เป็นพื้นฐานของระบบ เช่น TCP/IP หรือ Domain name ก็จะต้องยึดตามนั้นต่อไป เพราะ Internet เป็นระบบกระจายฐานข้อมูล การจะเปลี่ยนแปลงระบบพื้นฐาน จึงไม่ใช่เรื่องง่ายนัก

ประวัติความเป็นมาอินเทอร์เน็ตในประเทศไทย
- อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เริ่มต้นเมื่อปีพ.ศ.2530(ค.ศ.1987) โดยการเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ ระหว่างมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์(http://www.psu.ac.th)และสถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย (http://www.ait.ac.th) ไปยังมหาวิทยาลัยเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย(http://www.unimelb.edu.au) แต่ครั้งนั้นยังเป็นการเชื่อมต่อโดยผ่านสายโทรศัพท์ (Dial-up line) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลได้ช้า และไม่เสถียร จนกระทั่ง ธันวาคม ปีพ.ศ.2535 ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ(NECTEC) ได้ทำการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ของมหาวิทยาลัย 6 แห่ง เข้าด้วยกัน (Chula, Thammasat, AIT, Prince of Songkla, Kasetsart and NECTEC) โดยเรียกเครือข่ายนี้ว่า ไทยสาร(http://www.thaisarn.net.th) และขยายออกไปในวงการศึกษา หรือไม่ก็การวิจัย การขยายตัวเป็นไปอย่างต่อเนื่องจนเดือนกันยายน ปี พ.ศ.2537 มีสถาบันการศึกษาเข้าร่วมถึง 27 สถาบัน และความต้องการใช้อินเทอร์เน็ตของเอกชนมีมากขึ้น การสื่อสารแห่งประเทศไทย (http://www.cat.or.th) เปิดโอกาสให้ภาคเอกชน สามารถเป็นผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP - Internet Service Provider) และเปิดให้บริการแก่บุคคลทั่วไป สามารถเชื่อมต่อ Internet ผ่านผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย
.......(from, http://www.thaiall.com/internet/internet02.htm)
จากข้อมูลข้างต้น ให้นักเรียน ปวช. 3 สาขาคอมพิวเตอร์ จงแสดงความคิดเห็นต่อไปนี้
1. อินเตอร์เน็ตมีความสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างไร?
2. Cyberspace และ Internet แตกต่างกันอย่างไร?
3. IP Adress มีลักษณะอย่างไร?

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม


ปฏิรูป (reconstruct) หมายถึง บูรณะหรือทำขึ้นใหม่ ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม เป็นแนวคิดที่เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1930 ประเทศสหรัฐอเมริกาได้ประสบปัญหาหลาย ๆ ด้าน เช่น ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาความขัดแย้งระหว่างระบบนายทุนจึงเกิดนักคิดกลุ่มหนึ่งที่ได้พยายามจะแก้ปัญหาสังคมโดยให้การศึกษาเป็นตัวนำการปฏิรูปเศรษฐกิจการเมือง และสังคมโดยการล้มระบบเก่าที่ไม่มั่นคงและยุติธรรมลงเสีย แล้วสร้างระบบสังคมใหม่ขึ้นมา นักคิดกลุ่มนี้ที่เสนอบทบาทใหม่ให้กับโรงเรียนให้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาสังคมนี้มีชื่อเรียกว่า “นักคิดแนวหน้า” ผู้นำของนักคิดกลุ่มนี้ ได้แก่ จอร์จ เอส เค้าทส์ และ ฮาโรลด์ รักก์ กลุ่มนี้มีความเห็นด้วยกับหลักการประชาธิปไตยโดยที่ประชาชนต้องสามารถควบคุมสถาบันและทรัพยากรต่างๆได้เอง โดยไม่ขึ้นอยู่กับนักการเมืองที่หวังเอาประชาชนเป็นเครื่องมือ และประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ควรต้องประสานความสอดคล้องกับประชาธิปไตยในแต่ละประเทศทั่วโลก
ผู้นำของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมตอนแรก คือ จอห์น ดิวอี้ (ค.ศ. 1920) แต่แนวคิดเกี่ยวกับ “การศึกษาเพื่อปฏิรูปสังคม” นี้ยังไม่เด่นชัดจนกระทั่งประมาณปี ค.ศ. 1950 ที โอดอร์ บราเมลด์ ได้เป็นผู้ทำให้ปรัชญาศึกษาปฏิรูปนิยมเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางโดยการเสนอปรัชญาการศึกษาเพื่อการปฏิรูปสังคมในหนังสือหลายเล่มด้วยกัน เช่น “Pattern of Education Philosophy 1950” “Toward a Reconstructed Philosophy of Education 1956” และเรื่อง Educations Power 1965”(Kneller, 1971, หน้า 62) เป็นต้น ทำให้บราเมลด์ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (สุรินทร์ รักชาติ, 2529, หน้า 58)
แนวคิดพื้นฐาน
ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมนี้พัฒนามาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม (pragmatism) และผนวกเอาความคิดของปรัชญาพิพัฒนาการนิยม (progressivism) เข้าไว้ด้วยกัน (ทองปลิว ชมชื่น, 2529, หน้า 162-163 ) ปรัชญาปฏิรูปนิยมเน้นเรื่อง “แรงงาน” (labor) ว่าเป็นหัวใจของสังคม และเชื่อว่ามนุษย์จะต้องช่วยกันสร้างระบบสังคมเสียใหม่โดยถือว่า “การทำงานคือชีวิต” ดังนั้น รูปแบบของการศึกษาในลัทธิปรัชญานี้จึงเน้นการทำงานหรือการทำแบบฝึกหัดในบทเรียนต่างๆ อย่างมากที่สุด (ภิญโญ สาธร, 2525, หน้า 117) ปฏิบัติการนิยมเน้นในการแก้ไขปรับปรุงสภาพสังคม โดยอาศัยการศึกษาเป็นเครื่องมือ พิพัฒนาการนิยมเน้นการพัฒนาเด็กไปสู่จุดมุ่งหมายที่ผู้เรียน และผู้สอนร่วมกันกำหนดขึ้น การผสมผสานกันระหว่างความคิดสองปรัชญาทำให้ปรัชญาปฏิรูปนิยมก่อตัวขึ้นโดยเน้นการพัฒนาการของบุคคลและของมวลชนเพื่อเข้าใจตนเองว่ามีความต้องการอะไร สังคมประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีความสามารถและจุดมุ่งหมายของสมาชิกไม่จำเป็นต้องเหมือนกันหมด (ทองปลิว ชมชื่น, 2529, หน้า163 ) ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเน้นการปฏิรูปสังคมและสร้างสรรค์รูปแบบของสังคมขึ้นมาใหม่ในอนาคต
หลักการสำคัญ
ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมมีหลักการสำคัญ (George F. Kneller, 1971, หน้า 62-64 อ้างใน สุรินทร์ รักชาติ, 2529, หน้า 59-60) สรุปได้ดังนี้
1. การศึกษาต้องเป็นการสร้างระเบียบของสังคมขึ้นมาใหม่ เพื่อให้ค่านิยมเบื้องต้นทางวัฒนธรรมได้บรรลุความสำเร็จตามที่ต้องการ และขณะเดียวกันก็ต้องให้กลมกลืนกับสภาวะของสังคมและเศรษฐกิจ
2. สังคมใหม่ต้องเป็นสังคมประชาธิปไตยอย่างแท้จริง โดยประชาชนหรือผู้แทน ที่ประชาชนเลือกมาจะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการควบคุมผลประโยชน์ของสถาบันและทรัพยากรต่าง ๆ ของประเทศ
3. การศึกษานั้นนอกจากจะทำให้บุคคลได้พัฒนาสังคมแล้วยังทำให้บุคคลได้เรียนรู้ที่จะเข้าร่วมในการวางแผนของสังคมด้วย ดังนั้นสังคมจึงมีส่วนร่วมที่สำคัญของการศึกษา
4. ครูผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้เด็ก ได้แสดงความคิดเห็นในการแก้ปัญหา โดยครูจะต้องเชื่อและไว้วางใจเด็กในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ตามกระบวนการของประชาธิปไตยและเป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย
5. วิธีการและจุดมุ่งหมายปลายทางของการศึกษา ต้องสนองความต้องการของวัฒนธรรมปัจจุบันเป็นสำคัญ ดังนั้น จึงต้องปฏิบัติเนื้อหาวิชา วิธีการสอน ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารใหม่ ทั้งนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์

ความเชื่อทางการศึกษา
จุดมุ่งหมายการศึกษาของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้โรงเรียนมีบทบาทในการปฏิรูปสังคมเพื่อใช้การศึกษาเป็นปัจจัยในการสร้างสังคมใหม่ที่มีความเสมอภาค และความเป็นธรรมมากยิ่งขึ้น (วิจิตร ศรีสอ้าน, 2525, หน้า 64) ซึ่งในเรื่องดังกล่าวนี้ไพฑูรย์ ลินลารัตน์ (2529, หน้า 89) ได้แบ่งเป็นข้อ ๆ ไว้ดังนี้
1. การศึกษาต้องเป็นไปเพื่อส่งเสริมพัฒนาสังคมโดยตรง และต้องช่วยแก้ปัญหาของสังคมที่เป็นอยู่ด้วย
2. การศึกษาจะต้องมุ่งสร้างระเบียบใหม่ของสังคมบนรากฐานของประชาธิปไตยโดยต้องคำนึงถึงพื้นฐานที่มีอยู่เดิม
3. การศึกษาจะต้องให้เด็กเห็นความสำคัญของสังคมโดยส่วนรวม ควบคู่ไปกับของตนเอง

องค์ประกอบของการศึกษา
1. หลักสูตร หลักสูตรของปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเป็นหลักสูตรที่เน้นด้านสังคมเป็นแกนสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้เด็กเข้าใจสภาพของสังคม และศึกษาแนวทางในการแก้ไขปัญหาของสังคมเป็นการเตรียมเด็กให้มีความรู้ความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาได้อย่างมีคุณภาพ ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมยึดหลักสูตรแบบแกน (Core Curriculum or Wheel Curriculum) คือ การสอนเน้นหลักสูตรที่ยึดถือวิชาใดวิชาหนึ่งหรือกลุ่มวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกนกลาง เนื้อหาสาระในหลักสูตรมาจากปัญหาสังคมที่ผู้เรียนประสบอยู่ ทั้งนี้เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีความพร้อมในการคิดหาแนวทางในการแก้ปัญหา และนำผลที่ได้มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ หลักสูตรต้องกำหนดให้เด็กได้ศึกษาอย่างกว้างขวาง เพื่อให้เด็กมองเห็นปัญหาสังคมอย่างเข้าใจแจ่มชัด และร่วมมือกันหาข้อมูลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในอนาคตได้ เด็กจึงควรได้รับการศึกษาในเรื่องของอุตสาหกรรม สื่อสารมวลชน การขนส่ง การอนามัยและสาธารณสุข นิเวศวิทยา อาชญาวิทยา รวมทั้งวิชาที่สอนในโรงเรียน ได้แก่ วรรณคดี ดนตรี ศิลปะ ฟิสิกส์ เคมี สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, หน้า 124) การสอนวิชาต่างๆ เหล่านี้จะทำให้เด็กเห็น ถึงความสัมพันธ์ของวิชาดังกล่าวและจะทำให้สามารถเข้าใจสภาพของสังคมมากขึ้น
2. โรงเรียน ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมเชื่อว่าบทบาทของโรงเรียนจะต้องสนใจใฝ่หาอนาคต และนำทางให้เด็กได้พบกับระเบียบของสังคมใหม่โดยการให้การศึกษาฝึกในด้านความคิดสร้างสรรค์แก่เด็กเพื่อให้เด็กพร้อมที่จะร่วมมือในการวางแผนให้กับสังคมใหม่โรงเรียนมีหน้าที่สร้างบรรยากาศแบบสังคมประชาธิปไตยให้แก่เด็ก และในเวลาเดียวกันโรงเรียนจะต้องทำงานร่วมกับสมาชิกอื่นๆ ของสังคมด้วย นั้นก็คือโรงเรียนจะต้องเป็นผู้สร้างสังคมไม่ใช่เป็นผู้ที่ถูกสังคมสร้างขึ้นมา (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, หน้า 124-127) หากต้องการให้สังคมในอนาคตเป็นเช่นไร โรงเรียนก็สามารถจัดกิจกรรมต่างๆ เพื่อฝึกอบรมเด็กให้มีบุคลิกภาพทัศนคติ และความรู้ความสามารถเป็นอย่างนั้น
3. ผู้สอน ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม เชื่อว่าครูผู้สอนต้องสามารถทำให้เด็กเห็นว่า มีความจำเป็นที่จะต้องสร้างสรรค์สังคมใหม่ โดยอาศัยกระบวนการแบบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในโรงเรียน มีการนำหลักการสำคัญแบบประชาธิปไตยมาใช้
(ศุภร ศรีแสน, 2526, หน้า 193) ครูผู้สอนไม่ใช่มีหน้าที่คอยชี้แนะเพียงอย่างเดียว แต่ครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้คอยกระตุ้นเร่งเร้าให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการคิดวิเคราะห์เพื่อหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อบกพร่องต่าง ๆ ของสังคม (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2524, หน้า 91-92) นอกจากที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น ครูผู้สอนจะต้องเป็นผู้ที่มีความเสียสละอุทิศตนเพื่อสังคม มีลักษณะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้นกว่าเดิม
4. ผู้เรียน นักเรียนได้รับการปลูกฝังให้ตระหนักในคุณค่าของสังคม เรียนรู้วิธีการทำงานร่วมกัน เพื่อเป้าหมายในการแก้ปัญหาของสังคมในอนาคต ผู้เรียนจะได้รับการฝึกฝนให้รู้จักเทคนิคและวิธีการต่างๆที่จะทำความเข้าใจ และแก้ปัญหาในแนวทางประชาธิปไตย (ไพฑูรย์ สินลารัตน์, 2526, หน้า 92) ซึ่งนักเรียนควรจะได้เรียนรู้และรับทราบถึงข้อมูลต่างๆอย่างละเอียด และเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ใช่การโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ว่าเด็กจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม และควรจะได้หาข้อสรุปอันเป็นทางเลือกที่เหมาะสมและยุติธรรม (บรรจง จันทรสา, 2522, หน้า 250)
5. กระบวนการเรียนการสอน การเรียนการสอนตามแนวปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมมีลักษณะคล้ายคลึงกับปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม คือ เป็นการเรียนรู้ด้วยการลงมือกระทำด้วยตนเองโดยใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น วิธีการทางวิทยาศาสตร์ (scientific method) วิธีการแบบโครงการ (project method) และวิธีการแก้ปัญหา (problem solving method) นอกจากนั้นปรัชญานี้ยังอาศัยวิธีการทางประวัติศาสตร์ (historical method) และวิธีการทางปรัชญา (philosophical method) เข้ามาประกอบด้วย เพื่อให้การศึกษาปัญหาต่างๆ รัดกุมและสมบูรณ์ที่สุด ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมไม่ส่งเสริมการเรียนแบบท่องจำและการสอนแบบบรรยาย ครูผู้สอนและเด็กควรทำอะไรก็ได้เพื่อสนองความต้องการของตน การแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง สนใจปัญหาของสังคมเสนอแนะ วิธีการแก้ปัญหา บรรยากาศในการเรียนการสอนมีอิสระไม่ใช่ บังคับ การจัดตารางสอนควรมีความยืดหยุ่น กำหนดตามเวลาเรียนในทฤษฎีการค้นคว้าของเด็กและการอภิปรายเป็นสัดส่วนกัน โดยเน้นการอภิปรายเป็นหลัก (ทองปลิว ชมชื่น, 2529, หน้า 168)
6. การวัดและประเมินผล ปรัชญาการศึกษาลัทธินี้เชื่อว่ามนุษย์มีความสามารถที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมของตนเองดีขึ้น มนุษย์มีความสามารถที่จะสร้างจุดมุ่งหมายให้กับชีวิตอย่างชาญฉลาด มนุษย์เป็นผู้กำหนดอนาคตของตนเอง และคุณค่าสูงสุดของมนุษย์คือการใช้พลังแห่งการสร้างสรรค์มากที่สุด ดังนั้นจึงมีการวัดผลการเรียนด้านวิชาการ ด้านการพัฒนาการของผู้เรียน และทัศนคติเกี่ยวกับสังคมด้วย ตลอดจนด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยครูเป็นผู้วัดและประเมินผลผู้เรียน (ศักดา ปรางค์ประทานพร, 2526, หน้า 119)

สรุปปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม (recontructionism)
ปรัชญากลุ่มนี้ก่อตั้งขึ้นโดยเน้นการพัฒนาการของบุคคลและของมวลชนเพื่อเข้าใจตนเอง ว่ามีความต้องการอะไรเน้นการปฏิรูปสังคมและสร้างสรรค์รูปแบบของสังคมขึ้นมาใหม่ในอนาคต
หลักการสำคัญของปรัชญากลุ่มนี้คือ มุ่งเน้นเรื่องสังคมและปัญหาเศรษฐกิจ โรงเรียนจะต้องมีบทบาทในการที่จะช่วยปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจ ให้พัฒนากลายเป็นสังคมใหม่ที่ต้องการ ส่งเสริมให้โรงเรียนมีบทบาทในการสนับสนุนให้ผู้เรียนรู้จักปฏิรูปสังคมแนวคิดตามปรัชญาการศึกษานี้ได้แก่ โรงเรียนชุมชน (Community School)
ลักษณะของหลักสูตรนี้เน้นยึดอนาคตเป็นศูนย์กลาง คือจัดเนื้อหาวิชาและแผนการเรียนการสอนให้เอื้อต่อการแสวงหาเป้าหมายสำหรับอนาคต เน้นสังคมเป็นหลัก ผู้เรียนต้องเข้าใจสภาพของสังคมอย่างดีพอ มองเห็นปัญหาต่างๆ ในสังคม และหาแนวทางแก้ไข
ปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยมยึดหลักสูตรแบบแกน ( core curriculum or wheel curriculum) คือ การสอนเน้นวิชาใดวิชาหนึ่งหรือกลุ่มวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นแกนกลาง เนื้อหาในหลักสูตรนี้มาจากปัญหาสังคมที่ผู้เรียนประสบอยู่ หลักสูตรต้องกำหนดให้เด็กได้ศึกษาอย่างกว้าง เพื่อให้เด็กมองเห็นปัญหาสังคมอย่างเข้าใจแจ่มชัด

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับบุคลิกภาพ



"แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับบุคลิกภาพ"


ตุลา มหาพสุธานนท์ (2547, หน้า 213-214) ได้นำแนวคิดของ Adler เกี่ยวกับ

บุคลิกภาพ ซึ่งคนเราทุกคนมีบุคลิกภาพที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท

ดังนี้

1. บุคลิกภาพแบบเดินตามกฎ (the ruling types) เป็น

บุคลิกภาพที่ไม่สนใจผู้อื่นมีความต้องการควบคุมคนอื่นเพื่อตนจะได้มีความรู้สึกว่า เป็นคน

สำคัญและมีอำนาจ มักมีลักษณะเอาแต่ใจตนเองและกล้าที่จะทำร้ายทั้งจิตใจและร่างกาย

ของผู้อื่น วิธีการที่ใช้ในการควบคุมมีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การใช้เงิน รางวัล ค่าจ้าง หรือ

กำลังในการควบคุมผู้อื่น

2. บุคลิกภาพแบบเฉื่อยชา (the getting type) เป็นบุคคลที่ค่อนข้างเฉื่อยชาในการกระทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งการแก้ไขปัญหาของ

ตนเอง บุคคลเหล่านี้จะคอยพึ่งพิงผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำ ไม่รู้ว่าตนเองจะสามารถปฏิบัติงานได้สำเร็จเหมือนผู้อื่นหรือไม่

บุคคลที่มีบุคลิกภาพแบบนี้มักชอบอยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ตอบสนองคำร้องขอของตนเอง รวมทั้งมักใช้ความอ่อนหวานออดอ้อนขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น

3. บุคลิกภาพแบบหลีกเลี่ยง (the avoiding types) เป็นบุคคลที่ขาดความเชื่อมั่น

ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยแทนที่จะเผชิญกับปัญหา บุคคลเหล่านี้จะหลีกหนีหรือหลบ

เลี่ยงปัญหา เพื่อช่วยให้ตนไม่เกินความรู้สึกพ่ายแพ้ในเวลาที่ประสบความล้มเหลวในการ

แก้ปัญหา บุคคลเหล่านี้มักใช้วิธีการสร้างฝัน จินตนาการว่าตนเป็นผู้ที่มีความสามารถ มี

ความโดดเด่นในสังคมเพื่อลดความรู้สึกด้อยของตนเอง

4. บุคลิกภาพแบบมีประโยชน์ (the socially useful types) เป็นผู้ที่เติบโตมาในครอบครัวที่มีสมาชิกของครอบครัวคอยให้

ความช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน มีการปฏิบัติต่อกันด้วยความยกย่องและเห็นอกเห็นใจกัน ทำให้บุคคลเหล่านี้มีความเชื่อมั่นและมีความ

สามารถในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ด้วยตนเอง และให้ความร่วมมือในการทำงานกับบุคคลอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี

ตุลา มหาพสุธานนท์ (2547, หน้า 214-215) ได้กล่าวถึงแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของRobbins&Coulter ไว้ว่าตัวแบบของบุคลิกภาพที่ได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้คือ “The big model of personality” ซึ่งแบ่งบุคลิกภาพออกเป็น 5 ประเภท ดังนี้

1. บุคลิกภาพแบบเปิดตัว (extraversion) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่มักชอบสังสรรค์สมาคมกับบุคคลรอบข้าง คุยเก่ง มนุษย์สัมพันธ์ดี

และมีการแสดงออกที่เหมาะสม (assertive behavior) ในสังคม สอดคล้องกับ Hans J. Eysenck (อ้างถึงในศรีเรือน

แก้วกังวาล ,2551, หน้า 257 ) ที่ว่าบุคลิกภาพแบบเปิดตัวหรือแสดงตัว เป็นลักษณะบุคลิกภาพที่ชอบสังสรรค์กับคน ช่างพูด ตอบโต้ ง่าย ๆ

เป็นกันเอง และมีลักษณะเป็นผู้นำ

2. บุคลิกภาพแบบน่าคบ (agreeableness) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่ดูดีตามธรรมชาติ น่าให้ความร่วมมือ และเป็นบุคคลที่น่าเชื่อใจ

3. บุคลิกภาพแบบรอบคอบระมัดระวัง (conscientiousness) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่มีความรับผิดชอบ อยู่ได้ด้วยตนเอง ดื้อ

รั้น และมีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์

4. บุคลิกภาพแบบมั่นคงทางอารมณ์ (emotional stability) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่แสดงออกทางบวกหรือลบ ทางบวก เช่น

บุคลิกภาพมั่นคงทางอารมณ์แบบเงียบสงบ กระตือรือร้น มั่นคง ทางลบ เช่น บุคลิกภาพมั่นคงทางอารมณ์แบบเครียด กังวลใจ และหดหู่

5. บุคลิกภาพแบบเปิดกว้าง (openness to experience) เป็นบุคลิกภาพของบุคคลที่เปี่ยมด้วยจินตนาการ มีความอ่อนไหว

งดงาม และฉลาด

ตัวแบบบุคลิกภาพทั้ง 5 แบบนี้ใช้เป็นกรอบในการมองบุคคลได้เป็นอย่างดี ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่ามีความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญกับ

การปฏิบัติงาน ของบุคคล เช่นบุคลิกภาพแบบรอบคอบ ระมัดระวัง (conscientiousness) สามารถทำนายผลการปฏิบัติงานใน

อาชีพวิศวกร สถาปนิก ทนายความ ตำรวจ ผู้บริหาร พนักงานขาย และบุคลิกภาพยังเป็นตัวทำนายผลการเรียนรู้ของบุคคลได้เป็นอย่างดี การเรียนรู้ที่

รวดเร็วและเข้าใจได้ก่อนคนอื่น แสดงถึงการที่มีบุคลิกภาพที่รอบคอบ มีความคิดเป็นระบบ ส่งผลให้บุคคลนั้น มีพัฒนาการที่รวดเร็วกว่าคนรอบข้าง

จนสามารถสรุปได้ว่าพัฒนาการของบุคคลต้องอาศัยการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยใช้บุคลิกภาพเป็นแบบอย่าง


ตุลา มหาพสุธานนท์ (2547, หน้า 215) ยังได้นำแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของJung ที่อธิบายถึงบุคลิกภาพของมนุษย์ในส่วนของ

การมองโลกและการปฏิสัมพันธ์กับสังคม โดยแบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ออกเป็น 2 ประเภทคือ

1. บุคลิกภาพแบบเปิดตัว (extroversion) เป็นบุคคลที่เน้นปัจจัยภายนอกร่างกาย มุ่งสนใจสิ่งภายนอก เป็นผู้ที่ชอบสังคม มีความกระตือ

รือร้นที่จะติดต่อและทำกิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกับผู้อื่น กล้าพูด กล้าแสดงออก สอดคล้องกับสมพร สุทัศนีย์ (2544, หน้า 78) ได้แบ่งบุคลิกภาพ

ประเภทแสดงตัวไว้ว่า บุคคลประเภทนี้ชอบเข้าสังคม ชอบพบปะพูดคุยกับผู้อื่น เป็นคนเปิดเผย ร่าเริง แจ่มใส บุคคลประเภทนี้มีมนุษย์สัมพันธ์ดี แต่มี

ข้อเสีย คือ เป็นคนพูดมาก เก็บความลับไม่อยู่

2. บุคลิกภาพแบบเก็บตัว (introversion) เป็นบุคคลที่สนใจในความคิดและความรู้สึกของตนหมกมุ่นอยู่กับความคิดและความรู้สึกของ

ตน ไม่สนใจสังคมภายนอก ไม่ชอบสังคม เป็นคนค่อนข้างเงียบ และไม่ชอบปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น หรือไม่ชอบแสดงออกต่อหน้าสาธารณชน สอดคล้องกับ

สมพร สุทัศนีย์ (2544, หน้า 78) ซึ่งได้นำเสนอบุคลิกภาพประเภทเก็บตัวไว้ว่า บุคคลประเภทเก็บตัว เป็นบุคคลที่ไม่ชอบสังคม เมื่อมีปัญหา

จะแยกตัวออกจากสังคม เป็นคนไม่ชอบพูด นอกจากนี้ยังตัดสินใจช้า ขาดความเชื่อมั่นในตนเองมนุษย์ทุกคนไม่มีใครที่มีบุคลิกภาพแบบเพียงอย่าง

เดียว ทุกคนจะมีสองลักษณะอยู่ในตนเอง เพียงแต่ว่าลักษณะใดเด่นกว่ากัน เปรียบได้กับ Gene ที่เกิดจากการผสมของโครโมโซมในร่างกายมนุษย์

จะปรากฏส่วนที่โดดเด่นให้เห็นชัดเจน เช่น พฤติกรรมการแสดงออกจะสอดคล้องกับลักษณะของบุคลิกภาพที่เป็นตัวตนของบุคคลนั้น ๆ


สมพร สุทัศนีย์ (2544, หน้า 79-82) ยังได้นำเสนอแนวคิดของ Black and Mouton เกี่ยวกับการแบ่งบุคลิกภาพของบุคคลออกตามรูปแบบของพฤติกรรมการบริหาร ได้ 5 ประเภท ดังนี้

1. ประเภทไม่เอาไหน (impoverished) สัญลักษณ์ของคนประเภทนี้ คือ เต่า บุคคลประเภทนี้จึงไม่กล้าเผชิญปัญหา ขาดความคิดริเริ่ม

สร้างสรรค์ ยอมตามผู้อื่น

2. ประเภทยอมตาม (country club manager) สัญลักษณ์ของคนประเภทนี้ ตุ๊กตาหมี เป็นบุคคลที่ยอมผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไข

ยอมให้คนอื่นกอดรัดฟัดเหวี่ยงได้ตามใจ บุคคลประเภทนี้จะให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจโดยไม่ปริปากบ่น มีความเสียสละ มักจะยอมให้คนอื่น ทำ

สิ่งต่าง ๆ ก่อนเสมอ มองโลกในแง่ดี

3. ประเภทชอบใช้อำนาจ (authoritarian) สัญลักษณ์ของคนประเภทนี้ คือ ฉลาม ธรรมชาติของฉลามคือดุร้าย บุคคลประเภทนี้จึงมี

พฤติกรรมก้าวร้าว ดุร้าย ชอบใช้อำนาจในการแก้ปัญหาโดยไม่คำนึงความรู้สึกของผู้อื่น เน้นความต้องการของตนเอง มักแก้ปัญหาด้วยการเผชิญหน้า

การแก้ปัญหานำไปสู่การต่อสู้และทำร้าย

4. ประเภทกลาง ๆ (mediocre) สัญลักษณ์ของคนประเภทนี้ คือ สุนัขจิ้งจอก เป็นบุคคลที่ไม่ยอมเสียเปรียบใคร แก้ปัญหาความขัดแย้งด้วย

วิธีประนีประนอม เช่น แบ่งคนละครึ่งเพราะการแบ่งคนละครึ่งย่อมทำให้อีกฝ่ายได้รับผลประโยชน์ไม่เต็มที่ การแก้ปัญหามักจะเป็นไปในลักษณะแก้

ปัญหาเฉพาะหน้า เอาตัวรอด ขาดความจริงใจ

5. ประเภทใจเย็น (team manager) สัญลักษณ์ของคนประเภทนี้ คือ นกฮูก เป็นบุคคลที่ใจเย็น เพราะนกฮูกไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบต่อ

มนุษย์ แต่จะชอบแอบดูลับหลังเหมือนการตื่นในเวลากลางคืน บุคคลประเภทนี้จงพยายามศึกษาความต้องการของผู้อื่นและความต้องการของตนเอง

วิธีการแก้ปัญหาความขัดแย้งคือ ควบคุมอารมณ์ รับฟังด้วยความเข้าใจ พูดจาไพเราะ ขอความเห็น แสดงความเห็น แสวงหาทางเลือกในการแก้

ปัญหาหลาย ๆ ทาง และแก้ปัญหาด้วยการสนองความต้องการของตนเองและของผู้อื่น


นอกจากนี้ สมพร สุทัศนีย์ (2544, หน้า 80) ยังได้นำแนวคิดของประสพ รัตนากร เกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็น 8 ประเภท

ที่ให้ความคิดเห็นว่า

1. ประเภทปัญญาชน คนประเภทนี้มักจะใช้สติปัญญาเป็นเครื่องกำหนดพฤติกรรม ทำอะไรก็ต้องไตร่ตรองอย่างมีเหตุผล

2. ประเภทปากเป็นเอก คนประเภทนี้ชอบใช้วาจาเป็นเครื่องมือในการประกอบอาชีพ หรือสร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่น

3. ประเภทถืออำนาจเป็นใหญ่ คนประเภทนี้ชอบใช้อำนาจวางโต หรือแฝงไว้ด้วยอำนาจ

4. ประเภทที่รู้จักและเข้าใจตนเอง คือ ประเภทที่รู้จักฐานะของตนเองว่าเป็นใครมีความสำคัญอย่างไร

5. ประเภทที่มีความอดทน คนประเภทนี้จะมีความอดทน อดกลั้น

6. ประเภทเจ้าอารมณ์ คนประเภทนี้ใช้อารมณ์เป็นใหญ่ มีอารมณ์รุนแรง ถ้ารักก็รักมาก ถ้าเกลียดก็เกลียดมาก เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น

7. ประเภทที่ยึดระเบียบกฎเกณฑ์ คนประเภทนี้นอกจากจะยึดระเบียบกฎเกณฑ์แล้ว ยังเป็นประเภทเถรตรง

8. ประเภทยึดถือสังคม คนประเภทนี้ชอบทำตามสังคม เปลี่ยนแปลง ปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ ตามสังคม นิยมใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องสำอาง เสื้อผ้าตาม

แฟชั่น ตามสังคม

นอกจากนี้มีการจำแนกบุคคลในวงการสมาคมตามพฤติกรรมที่แสดงออกเป็น 4 ประเภท โดยสมพร สุทัศนีย์ (2544, หน้า 81) ได้กล่าวถึง

แนวคิดของธรรมรส โชติกุญชร ดังนี้

1. พวกที่ชอบใช้อำนาจเหนือผู้อื่น (dominant) คนพวกนี้ชอบทำตัวเหนือผู้อื่น ชอบเป็นผู้นำ อยากมีชื่อเสียงเด่นในสังคม

2. พวกยอมจำนน (submissive) คนพวกนี้เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน ว่านอนสอนง่ายยอมเสียเปรียบผู้อื่น ผ่อนปรน ใครว่าอะไรก็ว่าตาม

มักตกเป็นเบี้ยล่างผู้อื่นเสมอ ไม่มีความคิดเป็นของตนเอง

3. พวกประนีประนอม (compromise) เมื่อเข้าสมาคมคนพวกนี้ชอบแสดงพฤติกรรมแบบไปขอที มีลักษณะออมชอม ไม่เคร่งครัด

ระเบียบ

4. พวกบูรณาการ (intergration) พวกนี้มีจิตใจโอบอ้อมอารี รักพวกพ้อง

มุกดา ศรียงค์ (2539, หน้า 13-14)ได้สรุปแนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพของ Richard Coan ไว้ว่า บุคลิกภาพที่สมบูรณ์ หมายถึง

บุคคลที่ได้พัฒนาตนเองถึงระดับสูงที่สุด วิธีการที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางด้านบุคลิกภาพที่สมบูรณ์คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบ โดยการศึกษา

ตัวแปรเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่สมบูรณ์จากตัวแปร 135 ตัว เขาสรุปได้ว่าวิธีการที่คนเราจะเป็นบุคคลสมบูรณ์ได้นั้นมี 5 วิธีด้วยกัน ดังนี้

1. ประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมทั้งมีอิสระในการทำงาน

2. ความคิดสร้างสรรค์ กล้าเผชิญกับสิ่งเก่า ๆ ยอมรับความแปลกใหม่และการไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม ชอบสร้างแนวชีวิตใหม่

3. มีความผสมกลมกลืนภายในตนเอง รักตนเอง มีความต้องการเป็นตัวของตัวเอง ชอบสันโดษ

4. ความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น มีความเมตตา กรุณา พร้อมเสมอที่จะติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นเมื่อเขาต้องการ

5. มีความสามารถในการควบคุมจิตใจได้เหนือกว่าคนทั่ว ๆ ไป มีความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และติดต่อสัมพันธ์กับสิ่งที่อยู่เหนือธรรมชาติได้

มยุรี เจริญทรัพย์ และคณะ (2550, หน้า131-132) ได้นำเสนอทฤษฎีจิตวิทยาส่วนบุคคล (theory of individual psychology) ของ Alfred Adler ถึงสาเหตุที่ทุกคนต้องต่อสู้ดิ้นรนให้หลุดพ้นจากปมด้อย เพื่อให้เท่าเทียมกับคนอื่น ซึ่งมีแนวคิดที่สำคัญดังนี้

1. ความมุ่งมั่นในอนาคต (fictional finalist) หมายถึง การที่มนุษย์ถูกจูงใจให้มีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพ ตามความคาดหวังใน

อนาคตมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

2. การดิ้นรนเพื่อยกระดับของตน (striving for superiority) ได้แก่ ความพยายามที่จะให้ตนเองดีกว่าเหนือกว่าที่เป็นอยู่ใน

ปัจจุบัน ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มีมาแต่กำเนิด ความรู้สึกนี้เป็นแรงขับสำคัญที่ช่วยยกระดับพัฒนาการให้เกิดขึ้น

3. การชดเชยปมด้อยของตนเอง (inferiority feeling and compensation) ความรู้สึกมีปมด้อยเป็นลักษณะ

ธรรมดาของมนุษย์ เป็นส่วนช่วยให้มีการปรับปรุงแก้ไขตนเองให้พ้นภาวะนี้

4. ความสนใจในสังคม (social interest) ความสนใจนี้มีมาแต่กำเนิด ถ้าเด็กได้รับความรัก มักสนใจคนอื่นในแง่ดี ความรู้สึกเห็นแก่ตัว

จะลดลง เกิดความรักความเข้าใจในบุคคลอื่น

5. แบบแผนของชีวิต (style of life) บุคคลจะเริ่มมีแบบแผนของตนเองตั้งแต่อายุ 4- 5 ขวบ ประสบการณ์ต่าง และสิ่งแวดล้อมจะ

ช่วยทำให้แบบแผนของชีวิตเป็นไปตามนั้น

6. การสร้างความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง (creative self) แนวทางการสร้างความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง จะแสดงให้เห็นแบบแผนชีวิตของ

บุคคลนั้น และแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของแบบแผนชีวิตของเขา

บุคลิกภาพ เป็นลักษณะของแต่ละบุคคล เป็นตัวกำหนดลักษณะนิสัย พฤติกรรม การแสดงออกทั้งภายในและภายนอกจิตใจ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีลักษณะเช่นใด การแสดงออกอย่างเป็นตัวตนที่แท้จริง จะแสดงออกมา เมื่ออารมณ์ ประสบการณ์ของบุคคลนั้น อยู่ในสังคมที่ดี การแสดงออกทางสังคมหรือการเลี้ยงดูก็เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม กำหนดบุคลิกภาพได้เช่นกัน บุคลิกภาพจะช่วยให้บุคคลมีปฏิสัมพันธ์กันในทางที่ดี เมื่อบุคคลนั้นมีการแสดงออกทางพฤติกรรมที่มั่นคง การแสดงออกทางพฤติกรรมของนักศึกษาในโรงเรียนหรือในสถาบันต่าง ๆ นักศึกษาเป็นบุคคลที่อยู่ในวัยรุ่น การแสดงออกทางบุคลิกภาพ มักแสดงออกอย่างเปิดเผย และมีอารมณ์ที่รุนแรง การแสดงออกจึงใช้อารมณ์เป็นหลัก หากมีการเรียนรู้ และส่งเสริมในทางที่ถูกต้อง นักศึกษาจะเป็นบุคคลที่มีบุคลิกภาพที่สนใจการเรียน ค้นหาความรู้เพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยี หรือไอทีต่าง ๆ เพื่อให้ทันกับยุคโลกาภิวัฒน์ และสามารถอยู่ในกลุ่มเพื่อนได้ อีกทั้งเป็นการพัฒนาตนเองอย่างไม่รู้ตัว การที่บุคคลมีบุคลิกภาพที่พึงประสงค์แล้ว ย่อมเป็นที่ยอมรับของสังคมอันจะส่งผลให้บุคคลนั้นมีการปรับตัวเข้าสู่สังคมอย่างราบรื่นและมีความสุข ประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิตต่อไป

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ

มยุรี เจริญทรัพย์ และคณะ (2550, หน้า 127) ได้นำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ ของศาสตราจารย์ดร. จรรยา สุวรรณทัต รองศาสตราจารย์ดร. ดวงเดือน พันธุมนาวิน และอาจารย์เพ็ญแข

ประจนปัจนึก ซึ่งได้กล่าวถึงปัจจัยสำคัญในการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ว่ามี 3 ประเภทด้วยกัน

1. พันธุกรรม (heredity) หมายถึง ลักษณะต่าง ๆ ของบรรพบุรุษ ซึ่งถ่ายทอด

มายังลูกหลานรุ่นต่อ ๆ มาด้วยวิธีการสืบพันธุ์ อิทธิพลของพันธุกรรมที่ปรากฏจะเห็นได้ชัดมาก ลักษณะทางร่างกาย เช่น รูปร่าง หน้า เพศ สีผม สีของดวงตา สีผิว ลักษณะโครงกระดูก นอกจากนี้ ยังมีอิทธิพลต่อปฏิกิริยาตอบโต้พื้นฐานของแต่ละบุคคล เช่น ระดับความไวในการตอบโต้ การรับรู้

2. สิ่งแวดล้อม (environment) หมายถึง สภาพภายนอกซึ่งแยกออกจากตัวบุคคล

เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลในการเสริมสร้างบุคลิกภาพของบุคคล สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพอันดับแรก ได้แก่ บ้าน การอบรมเลี้ยงดู จะช่วยปูพื้นฐานบุคลิกภาพ เช่น เวลาหนาวมีคนห่มผ้าให้ ได้รับความรักเต็มที่ เด็กจะเกิดพัฒนาความรู้สึกไว้วางใจ มีทัศนคติที่ดีต่อคนรอบข้าง สิ่งแวดล้อมต่อมาที่มีอิทธิพลต่อการเสริมสร้างบุคลิกภาพ ได้แก่ โรงเรียน เพื่อน ครู สังคม วัฒนธรรม ประเพณี และความเชื่อต่าง ๆ

3. ช่วงเวลาในชีวิตของแต่ละบุคคล แสดงถึงระดับพัฒนาการทางร่างกายและ

จิตใจ อันเกิดจากอิทธิพลร่วมระหว่างพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก

ลักษณะบุคลิกภาพจะเกิดขึ้นในช่วงชีวิตต่าง ๆ ของแต่ละบุคคล เช่น วัยทารก จะเป็นวัยที่เพาะลักษณะนิสัยความไว้วางใจ ซึ่งเป็นลักษณะบุคลิกภาพอันถาวรของบุคคลตลอดไป

ปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ สามารถสรุปได้ว่า มีปัจจัยทั้ง

พันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม ส่งผลต่อบุคลิกภาพ อีกทั้งการพัฒนาบุคลิกภาพของมนุษย์ไม่มีการหยุดนิ่ง เนื่องจากมนุษย์มีการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่เข้ามาในแต่ละช่วงของชีวิต

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความหมายของบุคลิกภาพ


บุคลิกภาพ มาจากคำบาลี 2 คำ คือ บุคลิก กับ ภาวะ หรือ ภาพ เมื่อนำมาสมาสกันเป็น บุคลิกภาพ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า Personality แปลว่า ลักษณะเฉพาะตัวของบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีลักษณะเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน (มยุรี เจริญทรัพย์ และคณะ ,2550, หน้า 125)

บุคลิกภาพ (personality) คือ ลักษณะพฤติกรรมการแสดงออกอย่างสม่ำเสมอจนเป็นเอกลักษณ์ประจำตน ที่สามารถแบ่งมองเห็นได้ เช่น เป็นมิตร ใจดี คุยสนุก มีรสนิยม เป็นต้น (ตุลา มหาพสุธานนท์ ,2547, หน้า 213)

บุคลิกภาพ (personality) คือ คุณลักษณะทั้งหลายที่รวมตัวกันเป็นตัวตนของบุคคล เช่น ลักษณะความต้องการแรงจูงใจ ลักษณะการปรับตน อารมณ์ความรู้สึกที่ถาวร การรับรู้เข้าใจตนเอง การแสดงพฤติกรรมในบทบาทต่าง ๆ เจตคติ ค่านิยม และความสามารถ ความเก่ง ความฉลาด ซึ่งคุณลักษณะเหล่านี้เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ถ้าสิ่งใดเปลี่ยนแปลง การแสดงพฤติกรรมของบุคคลเหล่านั้นก็อาจเปลี่ยนแปลงตาม (สมใจ ลักษณะ ,2549, หน้า 111)

บุคลิกภาพที่สมบูรณ์ คือ แนวทางที่บุคคลประพฤติ ต้องอาศัยสติปัญญา ความเชื่อถือ และศรัทธาต่อชีวิต ซึ่งจะทำให้ความต้องการต่าง ๆ ของบุคคลได้รับการตอบสนอง ทำให้เขาสมารถพัฒนาตนเองให้มีสติรู้ตัวอยู่เสมอ มีความรักตนเอง รักธรรมชาติ และรักผู้อื่น (มุกดา ศรียงค์ ,2539, หน้า 18)

บุคลิกภาพ สามารถสรุปได้ว่า เป็นการแสดงออกทางพฤติกรรมของแต่ละบุคคล ซึ่งประกอบไปด้วย อารมณ์ สติปัญญา และการประพฤติตน เช่น ลักษณะนิสัยของแต่ละบุคคล ที่แสดงออกมาทางกาย วาจา และใจ ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวในสังคม การเรียนรู้ อันเป็นการแสดงออกที่บ่งบอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคล ว่ามีการรับรู้หรือปรับตัวได้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในสังคมได้อย่างไร

วันอังคารที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

องค์การแห่งการเรียนรู้




สรุปสาระสำคัญ
องค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) หมายถึง การเรียนรู้ของคนทั้งหลายที่เกิดขึ้นในองค์การ คนในองค์การสามารถขยายขอบเขตความสามารถ เพื่อก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ต้องการได้อย่างแท้จริง สามารถแสดงออกทางความคิดได้อย่างอิสระ มีทักษะในการสร้างสรรค์ การได้มาซึ่งความรู้ การส่งผ่านความรู้ และการปรับพฤติกรรม การปรับพฤติกรรมมนุษย์นั้น มักอาศัยวินัย ทฤษฎี เทคนิค และแนวทางพัฒนา ซึ่งสามารถฝึกฝนได้ และเรียนรู้ซึ่งกันและกัน โดยการกำหนดแนวทางการพัฒนา ด้านจิตวิญญาณ แนวคิด ข้อสรุปที่มีอิทธิพลต่อเราในการทำงาน เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของตัวบุคคล ช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีกับองค์กร และพัฒนาตนเองด้วย (อิทธิกร เพ็งรอด.2551. องค์การแห่งการเรียนรู้. ค้นเมื่อ 26 พฤษภาคม 2551,จาก http://www.kru-itth.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=420827&Ntype=6)
วิเคราะห์ วิจารณ์
องค์การแห่งการเรียนรู้ เป็นองค์การที่มีทักษะในการสร้างสรรค์ การแสดงออกทางความคิดได้อย่างอิสระ การปรับพฤติกรรมองค์การ เพื่อให้สะท้อนความรู้ใหม่ๆ เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ที่ต้องการความเป็นผู้นำในมุมมองใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของบุคลากรให้ชัดเจนขึ้น ซึ่งแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้ เป็นเรื่องการพัฒนาตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาองค์การของ Peter M. Senge ที่กล่าวถึงการพัฒนาศักยภาพของบุคคล ทั้งในระดับผู้นำและสมาชิก ถือว่าบุคคลเป็นองค์ประกอบสำคัญขององค์การแห่งการเรียนรู้ จะให้ความสำคัญต่อการเรียนรู้ ตลอดชีวิตการทำงานของบุคคล ต้องมีวินัย และสามารถพัฒนาทักษะ หรือความสามารถของตนเองได้ ในชีวิตการทำงานเราต้องมีการพัฒนาตนเองให้ทันต่อเทคโนโลยีที่ทันสมัย เพื่อสร้างองค์ความรู้ ที่มีคุณค่าต่อตนเองและต่อองค์กร เช่นเดียวกับ อรจรีย์ ณ ตะกั่วทุ่ง(2542, หน้า63) ให้ไว้ว่าองค์การแห่งการเรียนรู้ ประกอบด้วยผู้ที่มีความมุ่งมั่นที่จะขยายขีดความสามารถของตน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ของคนในองค์กรและการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ทั่วทั้งองค์กร
ข้อเสนอแนะ
การพัฒนาตนเอง จะต้องอาศัยแรงจูงใจจากตนเอง หากตัวบุคคลไม่ใส่ใจที่จะพัฒนาตนเอง การเรียนรู้ต่างๆ เราจะต้องเป็นครูผู้สนับสนุนตนเอง เป็นผู้รับผิดชอบ กำหนดวิสัยทัศน์ด้วยจิตวิญญาณของตนเอง ต้องหมั่นฝึกฝนแนวทางการพัฒนาการเรียนรู้เป็นผู้เรียนรู้ตลอดชีวิต หรือเป็นผู้เรียนรู้ตามอัธยาศัย หมั่นกระตุ้นความคิดตนเอง ตระหนักถึงชีวิตการทำงาน หรือการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การที่เราไม่รู้ เราควรจะถามในสิ่งที่เราจะเรียนรู้ในด้านนั้นๆ ขณะเดียวกันเราต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองอย่างลึกๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามรถและศักยภาพของตนเอง ในการเรียนรู้ที่จะเป็นผู้นำในมุมมองใหม่ๆต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระบบการประมวลผลข้อมูล


ระบบการประมวลผลข้อมูล มี 5 ระบบได้แก่
1. Batch processing system หมายถึงการประมวลผลแบบกุ่ม จะต้องจัดรวบรวมข้อมูล และแบ่งแยกข้อมูลออกเป็นกลุ่ม ๆ แล้วจึงส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อประมวลผลทีเดียว เมื่อเสร็จแล้ว จึงรวบรวมจัดทำเป็นรายงาน หรือสรุปผล ตัวอย่างเช่น ระบบจ่ายเงินเดือนของพนักงาน ระบบการจัดทำใบเสร็จ เป็นต้น
2. On-line Processing System(ระบบการประมวลผลแบบเชื่อมโยง) หมายถึง การประมวลผลที่ทำโดยอุปกรณ์ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งอุปกรณ์นั้นจะเป็นส่วนหนึ่งของตัวเครื่อง หรืออุปกรณ์นั้นจะอยู่ห่างออกไปแต่สามารถติดต่อโดยตรงกับเครื่องได้ การประมวลผลด้วยระบบนี้ข้อมูลที่ได้รับเข้ามาเมื่อประมวลผลการจองตั๋วเครื่องบิน
3. Time Sharing Processing (การประมวลผลแบบการแบ่งเวลา)หมายถึง ระบบการประมวลผล ที่ผู้ใช้สามารถติดต่อได้โดยตรงกับหน่วยประมวลผลกลาง (EPU) ของคอมพิวเตอร์โดยผ่านทางแป้นพิมพ์ของเครื่องเทอร์มินัล และหน่วยประมวลผลกลางก็จะทำการแบ่งเวลาประมวลผลงานให้กับหลาย ๆ เทอร์มินัลพร้อม ๆ กัน
4. Real Time Processing (การประมวลผลแบบทันที)เป็นวิธีการประมวลผลที่มีการส่งข้อมูลเข้าไป และส่งผลลัพธ์ออกมาทันที
5. Multiprogramming(การประมวลผลแบบหลายโปรแกรม)เป็นการประมวลผลโดยแบ่งหน่วยความจำออกเป็นส่วน ๆ ที่เรียกว่า Partitionเพื่อให้คอมพิวเตอร์ทำงานหลาย ๆ งานพร้อมกัน
จะเห็นได้ว่าการทำงานของระบบประมวลผลข้อมูล ได้มีการนำหลักความรู้เหล่านี้มาใช้ในชีวิตประจำวัน เห็นได้จากการทำงานในหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ ATM ที่ทุกคนใช้กันอย่างแพร่หลาย ก้เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นำหลักความรู้ของการประมวลผลข้อมูลเข้ามาใช้ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับมนุษย์ และสังคมได้เป็นอย่างดี

การประมวลผลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

การประมวลผลข้อมูล (Data Processing) หมายถึง การจัดกระทำหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูล จากรูปแบบหนึ่งไปยังอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้
1. Input Data ได้แก่

-Data collecting เช่น เครื่องนับผู้เข้าสนามบินสุวรรณภู
-Classifying เช่น การจำแนกนักเรียนโรงเรียน OBAC ตามสาขาวิชา
2. Data Processing ได้แก่
-Sorting การเรียงลำดับข้อมูล
-controlling การควบคุม
-Storage การเก็บข้อมูล
3. Output ได้แก่

-Reporting การพิมพ์รายงาน
-Communication การติดต่อสื่อสาร
วิธีการประมวลผลแบ่งได้ 2 วิธี ได้แก่
1. การประมวลผลด้วยมือ
2. การประมวลผลเครื่องคอมพิวเตอร์
ปัจจัยที่จะตัดสินใจในการนำคอมพิวเตอร์มาประมวลผล มีอะไรบ้าง

1. ปริมาณงานมาก
2. ต้องการผลที่ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
3. ลักษณะของงานต้องทำซ้ำ ๆ กัน
4. งานที่ใช้ในการคำนวณที่ซ้ำซ้อน
5. ค่าใช้จ่าย
ประเภทของงานประมวลผลข้อมูล
ด้านการคำนวณ
1. การทำบัญชี
2. การตลาด
3. การผลิต
4. การธนาคารและสถาบันการเงิน
ด้านสถิติ
1. การสำรวจประชากร
2. การทำสถิติคนไข้ในโรงพยาบาล
3. งานอุตุนิยม
ด้านทะเบียน
1. การทำทะเบียนรถยนต์
2. การทำทะเบียนนักศึกษา
3. การทำทะเบียนคนไข้
ด้านอื่นๆ ได้แก่
1. งานสำนักงาน
2. งานสำรวจอวกาศ
3. งานเดินเรือ

เทคโนโลยีสำนักงาน

งานของสำนักงานเป็นงานที่เกี่ยวกับเอกสารในรูปแบบใดแบบหนึ่ง เช่น การจัดทำ การจัดเก็บ การนำกลับมาใช้ การทำลายทิ้ง การลดเวลาที่ต้องเสียไปกับการจัดการเรื่องเอกสาร เมื่อเราก้าวเข้าไปในสำนักงาน นอกจากโต๊ะทำงาน เก้าอี้ ตู้เก็บเอกสารแล้ว อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่เราเห็นคุ้นตา คือ คอมพิวเตอร์ เครื่องพิมพ์ เครื่องถ่ายเอกสาร ซึ่งแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ที่เข้ามามีบทบาทในการให้ข้อมูล หรือสารสนเทศ ช่วยทำให้การสื่อสารเป็นไปอย่างสะดวกรวดเร็ว
ลักษณะงานสำนักงาน
1. เป็นงานบริการ หมายถึง งานที่ช่วยส่งเสริมสนับสนุนหน่วยงาน ให้มีความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน
2. เป็นงานเอกสาร หมายถึง งานที่เกี่ยวกับการผลิตเอกสาร เก็บรักษาภายในหน่วยงาน
ระบบสำนักงานอัตโนมัติ
หมายถึง สำนักงานที่มีการจัดระบบการทำงาน และวิธีการที่ประกอบด้วยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ ซึ่งใช้เทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ และระบบสื่อสารข้อมูลเป็นพื้นฐาน
คุณสมบัติของระบบสำนักงานอัตโนมัติ
1. บันทึกข้อมูลได้หลายรูปแบบ
2. ค้นหาข้อมูลได้สะดวก
3. เป็นระบบที่ง่าย และเกี่ยวข้องกับทุกระดับ
หน้าที่ของงานสำนักงาน
1. บริการและควบคุมในการติดต่อสื่อสาร
2. จัดระบบวิธีปฏิบัติงาน และร่วมมือประสานสัมพันธ์กับหน่วยงานอื่น
3. รวบรวมข้อมูลข่าวสารต่างๆในส่วนที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบของงานสำนักงาน มี 3 แบบ
1. รูปแบบรวมอำนาจ (Centralization)เป็นการทำงานที่ขึ้นตรงกับผู้บังคับบัญชาเพียงคนเดียว
2. รูปแบบสำนักงานแบบกระจายอำนาจ (Decentralization)เป็นการลดหลั่นอำนาจตามระดับขั้นลงไป โดยมีหัวหน้าหน่วย แต่ละหน่วยรับผิดชอบดูแล
3. รูปแบบสำนักงานแบบบูรณาการ (Integration)เป็นการผสมผสานระหว่างการรวมอำนาจ และการกระจายอำนาจ โดยแต่
ละหน่วยงานจะจัดให้หัวหน้างานปกครองดูแล สั่งการในส่วนที่รับผิดชอบและให้ขึ้นตรงต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงขึ้นไปตามลำดับ และมีการติดตามประเมินผลตลอดเวลา